คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) มีหน้าที่กำหนดนโยบาย
และกำกับดูแลการดำเนินงานของ สกพอ.

สกพอ. ย่อมาจาก “สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” เป็นหน่วยงานรัฐ
มีหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ EEC ผลักดันการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
ด้วยการประสานงานกับหน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนโครงการในพื้นที่ EEC

EEC เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard)
ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ที่มีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐาน
และตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคเอเชีย

พื้นที่ที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น การลงทุน การค้า หรืออุตสาหกรรมเป้าหมาย
โดยมีการให้สิทธิประโยชน์พิเศษ การอำนวยความสะดวก และมาตรการกำกับดูแลโดยเฉพาะ

12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่

1. อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
3. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
4. อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ
5. อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร
6. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์
7. อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
8. อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์
9. อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
10. อุตสาหกรรมดิจิทัล
11. อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ
12. อุตสาหกรรมการพัฒนาบุคลากรและการศึกษา

1. มีงานทำเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของอุตสาหกรรม และธุรกรรม และธุรกิจบริการ
2. รายได้สูงขึ้น จากงานที่ต้องการทักษะสูง
3. เข้าถึงการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ ผ่านโครงการพัฒนาฝีมือแรงงานที่ร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
4. โครงสร้างพื้นฐานดีขึ้น เช่น ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา อินเทอร์เน็ต และระบบขนส่งสาธารณะ เป็นต้น
5. โอกาสในการประกอบธุรกิจในท้องถิ่น เช่น ร้านค้า บริการ ที่พัก และการท่องเที่ยว เป็นต้น
6. คุณภาพชีวิตดีขึ้น จากการมีโรงพยาบาล โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐานมากขึ้น
7. ได้รับโอกาสการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ จากบริษัทต่างชาติมาสู่คนในพื้นที่

เสนอแนะการพัฒนาผ่านแผนการพัฒนา EEC และเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
ภายในพื้นที่ EEC

ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและสถานประกอบการในพื้นที่พัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของ
อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมร่วมรัฐ-เอกชนรองรับแรงงานทุกระดับ

1. วางผังเมืองและใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยกำหนดเขตกันชนระหว่างเขตอุตสาหกรรมกับพื้นที่ชุมชน
   หรือพื้นที่อนุรักษ์
2. รายงาน EIA (Environmental Impact Assessment) หรือ EHIA
   (Environmental Health Impact Assessment) ก่อนดำเนินโครงการ
3. ส่งเสริมการรีไซเคิล จัดการน้ำเสียและของเสียอันตราย รวมทั้งสนับสนุน
   การใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต
4. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนสิ่งแวดล้อมและขับเคลื่อน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาพื้นที่
   กับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

โอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพตามความต้องการของผู้บริโภค
และเชื่อมต่อกับนักลงทุนและการท่องเที่ยวมูลค่าสูง

เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน ดังนี้

1. พัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ EEC ให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
2. พัฒนาภาคเกษตรให้เข้าถึงเทคโนโลยีและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานที่ตลาดต้องการ
3. ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่และชุมชนที่มีอัตลักษณ์ให้มีคุณค่าสูง รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้สูง
4. ส่งเสริมการพัฒนาทักษะอาชีพของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน

การจัดทำผังการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ผัง EEC) เป็นการดำเนินการ
ตาม พ.ร.บ. EEC 2561 ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการผังเมือง โดย สกพอ.
ดำเนินการร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง

สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่ใช่ภาษี
และบริการนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติแบบเบ็ดเสร็จ

กรณีอยู่ในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ มีการกำหนดเงื่อนไขในการอนุมัติให้แก่นักลงทุน ติดตาม และประเมินผล
ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติตาม สกพอ.มีอำนาจเพิกถอนสิทธิหรือระงับโครงการได้ทันที กรณีอยู่ในพื้นที่ EEC
แต่อยู่นอกเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย

ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ได้ตามเงื่อนไขการอนุมัติการลงทุน

ช่องทางในการติดตามความก้าวหน้าของ EEC เช่น

1. เว็บไซต์ของ สกพอ. “https://eeco.or.th/”
2. Facebook “Eastern Economic Corridoe – EEC”
3. Youtube “EEC We can”
4. Tiktok “eecthailand”